ภูมิแพ้ตัวเอง
ภูมิแพ้ตัวเอง (Autoimmune disease) คือ โรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ โดยระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างสารภูมิคุ้มกัน (Antibody) ขึ้นมาโจมตีเซลล์หรือเนื้อเยื่อของตัวเอง ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
สาเหตุของภูมิแพ้ตัวเอง
สาเหตุของภูมิแพ้ตัวเองยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่
- พันธุกรรม ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองมักมีประวัติครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง
- การติดเชื้อ การติดเชื้อบางชนิดอาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
- สิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมีบางชนิด รังสี UV ความร้อน อาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
ชนิดของภูมิแพ้ตัวเอง
มีโรคภูมิแพ้ตัวเองมากกว่า 100 ชนิด โรคภูมิแพ้ตัวเองที่พบบ่อย ได้แก่
- โรคพุ่มพวง (Systemic lupus erythematosus) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย มักพบในเพศหญิง
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายข้อต่อ มักพบในเพศหญิง
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 diabetes) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน มักพบในเด็ก
- โรคแพ้ภูมิตัวเองต่อไทรอยด์ (Autoimmune thyroid disease) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายต่อมไทรอยด์ มักพบในเพศหญิง
- โรคแพ้ภูมิตัวเองต่อกล้ามเนื้อ (Myasthenia gravis) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการของภูมิแพ้ตัวเอง
อาการของภูมิแพ้ตัวเองอาจแตกต่างกันไปตามชนิดของโรคและความรุนแรงของโรค อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- อาการอักเสบ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน
- อาการอ่อนเพลีย
- อาการไข้
- อาการเบื่ออาหาร
- อาการน้ำหนักลด
- อาการผื่น
- อาการปวดข้อ
- อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- อาการปวดศีรษะ
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน
- อาการหายใจลำบาก
- อาการไตวาย
- อาการหัวใจล้มเหลว
การวินิจฉัยภูมิแพ้ตัวเอง
การวินิจฉัยภูมิแพ้ตัวเอง แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจชิ้นเนื้อ
การรักษาภูมิแพ้ตัวเอง
การรักษาภูมิแพ้ตัวเองขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและความรุนแรงของโรค การรักษาอาจทำได้ด้วยยา การผ่าตัด หรือการรักษาแบบอื่นๆ เช่น การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด
การป้องกันภูมิแพ้ตัวเอง
การป้องกันภูมิแพ้ตัวเองสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้โรคกำเริบ เช่น หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ หลีกเลี่ยงสารเคมีบางชนิด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับรังสี UV
ข้อควรระวัง
ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง ควรได้รับการติดตามการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจเช็คอาการและปรับการรักษาให้เหมาะสม หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
ตัวอย่างโรคภูมิแพ้ตัวเอง
- โรคพุ่มพวง (Systemic lupus erythematosus)
โรคพุ่มพวง (Systemic lupus erythematosus) หรือ SLE เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองที่พบบ่อยในเพศหญิง มักพบในช่วงวัยเจริญพันธุ์ โรคพุ่มพวงเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อต่อ ผิวหนัง ไต หัวใจ ปอด และสมอง
อาการของโรคพุ่มพวงอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ผื่นตามใบหน้า อ่อนเพลีย ไข้ น้ำหนักลด คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก ภาวะโลหิตจาง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
การรักษาโรคพุ่มพวงขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค การรักษาอาจทำได้ด้วยยา เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาต้านมาลาเรีย ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช้สเตียรอยด์ ยารักษาโรคภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองที่พบบ่อย มักพบในเพศหญิง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายข้อต่อ ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบและความเสียหายต่อข้อต่อ อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ได้แก่ ปวดข้อ บวมข้อ แดงข้อ
Leave a Reply